บทที่ 1

หน่วยที่ 1 ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม สาระสำคัญ คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการประมวลผล รับ-ส่ง ข้อมูลโดยใช้อุปกรณ์ โทรคมนาคมโดยความเจริญทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ มีการพัฒนาเครื่องมืออุปกรณ์โทรคมนาคม ที่ช่วยให้การสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นไปได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
สูงสุดใน ปัจจุบัน จุดประสงค์การเรียนรู้



1. เพื่อให้มีความหมายคอมพิวเตอร์
2. เพื่อให้ทราบความหมายของระบบโทรคมนาคม
3. สามารถบอกชนิดของอุปกรณ์โทรคมนาคม
4. เพื่อให้ทราบองค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
5. เพื่อให้ทราบประเภทของคอมพิวเตอร์ 6. เพื่อทราบลักษณะของการประมวลผลคอมพิวเตอร์แต่ละประเภท
7. เพื่อทราบลักษณะของเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
8. เพื่อสามารถอธิบายลักษณะของเครื่องโน้ตบุ๊ก ปาล์ม และ แท็บเล็ต
9. เพื่อให้ทราบประเภทของสัญญาณในระบบโทรคมนาคม
10. เพื่อทราบคุณธรรม ค่านิยมที่ดีในการใช้คอมพิวเตอร์ มีความสามัคคีในการท างานเป็นทีม




1.1    ความหมายของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ (Computer) ตามความหมายของพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ท าหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้ สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์" คอมพิวเตอร์หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์เป็นเครื่องจักรแบบ สั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อ ดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือ คณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณ เกี่ยวกับตัวดำเนินการทาง ตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์และส่วนควบคุมที่ใช้ เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้ นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป 




1.2 ประเภทของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์มีอยู่หลายประเภทด้วยกัน มีการแบ่งประเภทตามขนาดออกเป็น 6 ประเภทคือ
       1.2.1 ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super Computer) เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่สุดและมีขีดความสามารถสูงที่สุด ภายในประกอบไปด้วย หน่วยประมวลผลกลาง หรือ CPU (Central Process Unit) นับพันตัวที่สามารถคำนวณด้วยความเร็วหลาย ล้านคำสั่งต่อวินาที จัดเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีราคาแพงที่สุด และเร็วที่สุดตามความหมายของซุปเปอร์ คอมพิวเตอร์ประเภทของงาน เหมาะกับงานที่มีการประมวลผลข้อมูลปริมาณมาก เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การค้นคว้าด้านอากาศยานและอาวุธยุทโธปกรณ์ การสำรวจสำมะโน ประชากร งานพยากรณ์อากาศ การออกแบบอากาศยาน การสร้างแบบจำลองระดับโมเลกุลการวิจัย นิวเคลียร์ และการท าลายรหัสลับ
       1.2.2 เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer) เครื่องเมนเฟรมเป็นเครื่องที่ได้รับความนิยมใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ทั่วๆไปจัดเป็นเครื่องที่มี ประสิทธิภาพรองลงมาจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูงมาก แต่ยังต่ำกว่า ซูเปอร์คอมพิวเตอร์คือปกติสามารถทำงานได้รวดเร็ว หลายสิบล้านคำสั่งต่อวินาที สำหรับสาเหตุที่ได้ ชื่อว่า เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ ก็เพราะครั้งแรกที่สร้างคอมพิวเตอร์ลักษณะนี้ได้สร้างไว้บนฐานรองรับ ที่ เรียกว่า คัสซี่ (Chassis) โดยมีชื่อเรียกฐานรองรับนี้ว่า เมนเฟรม






เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ ความเหมาะกับการใช้งาน ทั้งในด้านวิศวกรรม วิทยาศาสตร์ และ ธุรกิจ โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลจำนวนมากๆ เช่น งานธนาคาร ซึ่งต้องตรวจสอบบัญชีลูกค้า หลายคน งานของสำนักงานทะเบียนราษฎร์ ที่เก็บรายชื่อประชาชนประมาณ 60 ล้านคน พร้อม รายละเอียดต่างๆ งานจัดการบันทึกการส่งเงิน ของผู้ประกับตนหลายล้านคน ของสำนักงาน ประกันสังคม กระทรวงแรงงาน คอมพิวเตอร์เมนเฟรม ที่มีชื่อเสียงมาก คือ เครื่องของบริษัท IBM ในปัจจุบัน ความนิยมใช้เครื่องเมนเฟรม ในหน่วยงานต่างๆ ได้ลดน้อยลงมาก เพราะราคา เครื่องค่อนข้างแพง การใช้งานค่อนข้างยาก และมีผู้รู้ด้านนี้ค่อนข้างน้อย สถานศึกษาที่มีเครื่องระดับนี้ ไว้ใช้สอน ก็มีเพียงไม่กี่แห่ง เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งคือ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กกว่า ได้รับการ พัฒนาให้มีสมรรถนะมากขึ้น จนสามารถทำงานได้เท่ากับเครื่องเมนเฟรม แต่ราคาถูกกว่าอย่างไรก็ ตามเครื่องเมนเฟรม ยังคงมีความ

จำเป็น ในงานที่ต้องใช้ข้อมูลมากๆ พร้อมๆ กันอยู่ต่อไปอีก ทั้งนี้ เพราะ เครื่องเมนเฟรมสามารถพ่วงต่อ และควบคุมอุปกรณ์รอบข้าง (Peripheral) เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่อง
ขับเทปแม่เหล็ก เครื่องขับจานแม่เหล็ก ฯลฯ ได้เป็นจำนวนมากในเวลาเดียวกัน
1.2.3 มินิคอมพิวเตอร์ (Minicomputer) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะน้อยกว่าเครื่องเมนเฟรม คือทำงานได้ช้ากว่า และควบคุม อุปกรณ์รอบข้างได้น้อยกว่า จุดเด่นสำคัญของเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ ก็คือ ราคาย่อมเยากว่าเมนเฟรม การใช้งานก็ไม่ต้องใช้บุคลากรมากนัก นอกจากนั้น ยังมีผู้ที่รู้วิธีใช้มากกว่าด้วย เพราะเครื่องประเภทนี้ มีใช้ตาม โรงแรม โรงพยาบาล รวมทั้งในสถานศึกษาดับอุดมศึกษาหลายแห่ง
มินิคอมพิวเตอร์ เหมาะกับงานหลายประเภท คือใช้ได้ทั้งในงานวิศวกรรม วิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม มีใช้ตามหน่วยงานราชการระดับกรมเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ ที่ได้รับความนิยมใช้กันมี บริษัท Digital Equipment Corporation หรือ DEC เครื่อง Unisys ของบริษัท Unisys เครื่อง NEC ของบริษัท NEC เครื่อง Nixdorf ของบริษัท Siemens-Nixdorf 1.2.4 เวิร์กสเตชั่น (Workstation) เวิร์กสเตชั่นถูกออก แบบมาให้เป็นคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะที่มีความสามารถในการคำนวณด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรม หรืองานอื่นๆที่เน้นการแสดงผลด้านกราฟิกต่าง ๆ เช่นการ นำมาช่วย ออกแบบภาพกราฟิกในโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อออกแบบชิ้นส่วนใหม่ ๆ เป็นต้นซึ่งจากการที่ต้อง ท างานกราฟิกที่มีความละเอียดสูงทำให้เวิร์คสเตชั่นใช้หน่วยประมวลผลที่มีประสิทธิภาพมากรวมทั้ง มีหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง จำนวนมากด้วย มีผู้ใช้บางกลุ่มเรียกเครื่องระดับเวิร์คสเตชั่นนี้ว่าซูเปอร์ไมโคร (super micro) เพราะออกแบบมาให้ใช้งานแบบตั้งโต๊ะแต่ชิปที่ใช้ทำงานนั้นแตกต่างกันมาก เนื่องจาก เวิร์คสเตชั่นส่วนมากใช้ชิปประเภท RISC (reduce instruction set computer) ซึ่งเป็นชิป ที่ลดจำนวนคำสั่งที่สามารถใช้สั่งงานให้เหลือเฉพาะที่จำเป็นเพื่อให้สามารถทำงานได้ด้วยความเร็วสูง



1.2.5 ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer) เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก และใช้ทำงานคนเดียว นิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าคอมพิวเตอร์ ส่วนบุคคล (Personal Computer) เป็นคอมพิวเตอร์ใช้งานที่พบได้อย่างแพร่หลาย จัดว่าเป็นเครื่อง คอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ทั้งระบบใช้งานครั้งละเครื่อง หรือใช้งานในลักษณะเครือข่าย แบ่งได้หลาย ลักษณะตามขนาด เช่นเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแบบตั้งโต๊ะ (Personal Computer) หรือแบบ พกพา (Portable Computer) ลักษณะของไมโครคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งได้ เป็นรูปแบบย่อยดังนี้ 1) เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานทั่วไป ที่เรียกว่า Desktop Models รวมถึง tower
นอกจากนี้ ยังมีคอมพิวเตอร์แบบผู้ใช้คนเดียวที่ได้รับการออกแบบให้สามารถพกพาติดตัวได้ สะดวก เช่นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก (Notebook computer)
 คอมพิวเตอร์ปาล์มท็อป (Palmtop computer) และ PDA (Personal Digital Assistant) ซึ่งคอมพิวเตอร์เหล่านี้ จัดได้ว่าเป็นเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งขนากเล็กน้ำหนักเบา และมีรูปลักษณ์ที่เหมาะกับการพกพา 2)   คอมพิวเตอร์                              โน้ตบุ๊ก หรือ แล็ปท็อป เป็นพีซีแบบเคลื่อนที่ได้ มีน้ำหนักเบา มีหน้าจอ บาง หรือมักจะเรียกว่าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเพราะมีขนาดเล็กสามารถทำงานด้วยแบตเตอรี่ สามารถ นำไปใช้งานได้ทุกที่ โดยจะมีส่วนหน้าจอรวมกับส่วนแป้นพิมพ์ สามารถพับได้ และน้ำหนักเบา




คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ คือ (1) อัลตร้าบุ๊ก (Ultra book) เป็นโน๊ตบุ๊กที่เน้นความบางและน้ าหนักเบา มีจอภาพ ขนาดใหญ่ตั้งแต่ 13-17 นิ้ว ส าหรับความบางของตัวเครื่องจะบางน้อยกว่า 21 มม. มีแบตเตอรี่ที่ใช้ งานได้ยาวนาน (2) โน๊ตบุ๊ก (Net Book) มีหน้าจอขนาดเล็กกว่าคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก คือมีขนาด ประมาณ 8.9-11.6 นิ้ว มีความหนาประมาณ 1 นิ้ว เหมาะสมกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตมากกว่าใช้ งานทั่วไป และไม่มีซีดีรอม 3) แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ (Tablet Computer) เรียกสั้นๆว่า แท็บเล็ตพีซี เป็น คอมพิวเตอร์ที่รวมการท างานทุกอย่างไว้ในจอสัมผัสโดยใช้ปากกาสไดลัส ปากกาดิจิตอล หรือปลาย นิ้วเป็นอุปกรณ์อินพุตพื้นฐาน แทนการใช้คีย์บอร์ดและเมาส์ แต่จะมีอยู่หรือไม่มีก็ได้ มีอุปกรณ์ไร้สาย ส าหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและระบบเครือข่ายภายใน แท็บเล็ต เป็นเทคโนโลยีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่คุณสามารถพกติดตัวได้โดยวัตถุประสงค์ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดนี้ใช้เพื่อทดแทนสมุดหรือกระดาษ



แท็บเล็ต ในความหมายแท้จริงแล้วก็คือแผ่นจารึกที่เอาไว้บันทึกข้อความต่างๆ โดยการเขียน (อาจจะเป็นกระดาษ, ดิน, ขี้ผื้ง, ไม้, หินชนวน) และ มีการใช้กันมานานแล้วในอดีต แต่ในปัจจุบัน มีการ พัฒนาคอมพิวเตอร์ที่ใช้แนวคิดนี้ขึ้นมาแทนที่ซึ่งมีหลาย บริษัทได้ให้ค านิยามที่แตกต่างกันไป หลักๆแล้ว มี2 ความหมายด้วยกันคือ "แท็บเล็ต พีซี- Tablet PC (Tablet Personal Computer)" และ "แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์- Tablet Computer" หรือเรียกสั้นๆว่า "แท็บเล็ต - Tablet" ใน ปัจจุบัน แท็บเล็ต ถูก พัฒนาให้มีความสามารถใกล้เคียงเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค มีขนาดเล็กสามารถถือด้วยมือเดียว และ น้ าหนักเบาโดยมี 3 รูปแบบคือ (1) Convertible Tablet มีโครงสร้างเดียวกับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก แต่ตัวจอภาพสามารถ หมุนแล้วพับซ้อนบนคีย์บอร์ดหรือสามารถแยกส่วนได้
(2) State Tablet จะเป็นแท็บเล็ตที่มีเพียงหน้าจอคล้ายกับกระดานชนวน จะมีคีย์บอร์ดใน ตัวแต่บางยี่ห้อสามารถใช้ปากกาเป็นอุปกรณ์อินพุตแทนคีย์บอร์ด
(3) อุปกรณ์พกพา (Personal Digital Assistant :PDA) เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพา ขนาดเล็กสามารถเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ด้วยระบบไร้สายสามารถในการเพิ่มเติม แอพพลิเคชั่นเพื่อให้ใช้งานด้านอื่น ๆ ได้ เป็นอุปกรณ์เคลื่อนที่ส าหรับผู้คนยุคใหม่และได้รับความนิยมมาก ขึ้น มีขนาดเล็กกกว่าคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก ปัจจุบันเลิกใช้งาน และมีการพัฒนาเป็นเครื่องโทรศัพท์มือถือที่มี จอกว้างขึ้น สามารถใส่ซิมเพื่อโทรศัพท์ได้ และใช้เป็นแท็บเล็ต เรียกว่า แฟบเล็ต


แฟบเล็ต (อังกฤษ: Phablet ,/ˈfæblɪt/) เป็นสิ่งที่เรียกอุปกรณ์ที่อยู่ระหว่าง "มือถือ" (Phone) กับ "แท็บเล็ต" (Tablet)[1] ซึ่งจะเป็นสมาร์ทโฟน ที่มีขนาดหน้าจอระหว่าง 5.1–7 นิ้ว (130– 180 มม.) โดยแฟบเล็ตถูกสร้างออกมาเพื่อให้สามารถมีฟังก์ชันส าหรับท างานระหว่างสมาร์ทโฟนกับ แท็บเล็ต โดยแฟบเล็ต จะมีขนาดใหญ่กว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป แต่จะเล็กกว่าแท็บเล็ตที่มีขนาดหน้าจอ ใหญ่กว่า ท าให้มีความสะดวกสบายในการพกพามากกว่าแท็บเล็ต แฟบเล็ตนั้นจะเหมาะสมกับการเข้า อินเทอร์เน็ต และการใช้สื่อมัลติมีเดียต่างๆ ซึ่งมีความเหมาะสมมากกว่าสมาร์ทโฟนปกติ แฟบเล็ตนั้น เริ่มมีมากขึ้นในยุคปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น ในชุดของ กาแลคซี โน้ต โดย ซัมซุง ซึ่งซอฟต์แวร์ออกแบบ มาส าหรับการใช้ปากกาสไตลัส ในการเขียนหรือวาด แฟบเล็ตที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตั้งแต่การเปิดตัวคือ กาแลคซีโน้ต โดยในเดือนมกราคม พ.ศ. 2556 ไอเอชเอส ได้รายงานว่า แฟบเล็ตรุ่นนี้ถูกขายไปแล้ว 25.6 ล้านเครื่องในปี พ.ศ. 2555 และคาดว่าจะเติบโตเป็น 60.4 ล้านเครื่องในปี พ.ศ. 2556 และ 146 ล้านเครื่อง ในปี พ.ศ. 2559
แฟบเล็ตนั้นในช่วงแรกถูกออกแบบมาเพื่อตลาดเอเชียที่ผู้บริโภคไม่ต้องการสมาร์ทโฟนที่มี ขนาดเล็กเกินไปและแท็บเล็ตที่มีขนาดใหญ่เกินไป เหมือนกับผู้บริโภคในทวีปอเมริกาเหนืออย่างไรก็ ตาม แฟบเล็ตก็ได้ประสบความส าเร็จในทวีปอเมริกาเหนือด้วย ซึ่งระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ตั้งแต่ รุ่น 4.0 เป็นต้นมา มีคุณลักษณะเหมาะกับอุปกรณ์ที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ เช่นเดียวกับหน้าจอขนาดเล็ก ส่วนผู้ใช้ที่มีอายุมาก ก็ต้องการอุปกรณ์ที่มีขนาดจอใหญ่ๆเช่นกัน เนื่องจากปัญหาด้านสายตา ขณะที่ ผู้ผลิตในปัจจุบันก็ผลิตแฟบเล็ตที่มีขนาดหน้าจอ 5.1 ถึง 7 นิ้วมากขึ้น ส่วนทางด้านแอ็ปเปิล (ในยุค ของ สตีฟ จ็อบส์) ปฏิเสธที่จะผลิตอุปกรณ์ที่มีหน้าจอใหญ่กว่า ไอโฟน ที่มีขนาดหน้าจอ 3.5 นิ้ว (89 มม.) และเล็กกว่า ไอแพด ที่มีขนาดหน้าจอ 9.7 นิ้ว (250 มม.) ในปี พ.ศ. 2555


1.2.6 ไมโครคอนโทลเลอร์(Microcontrollers) ไมโครคอนโทรลเลอร์(อังกฤษ: microcontroller มักย่อว่า µC, uC หรือ MCU) คือ อุปกรณ์ ควบคุมขนาดเล็ก ซึ่งบรรจุความสามารถที่คล้ายคลึงกับระบบคอมพิวเตอร์ในไมโครคอนโทรลเลอร์ได้ รวมเอาซีพียู, หน่วยความจ า และพอร์ต ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักส าคัญของระบบคอมพิวเตอร์เข้าไว้ ด้วยกัน โดยท าการบรรจุเข้าไว้ในตัวถังเดียวกัน ไมโครคอนโทรลเลอร์เป็นคอมพิวเตอร์แบบฝังตัว(Embedded Computers) ออกแบบมา เป็นพิเศษ มีขนาดเล็ก ป้อนโปรแกรมเพื่อให้ท างานด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะสามารถสังเกตได้จาก อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปในปัจจุบัน มักมีเป็นส่วนประกอบแทบทั้งสิ้น เช่น สมาร์ททีวี เครื่องไมโครเวฟ เครื่องซักผ้า และตู้เย็น เป็นต้น


1.3 อุปกรณ์โทรคมนาคม (Telecommunications) โทรคมนาคม (อังกฤษ: Telecommunication) หมายถึงการสื่อสารระยะไกล โดยใช้เทคโนโลยี ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางสัญญาณไฟฟ้า หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเนื่องจากเทคโนโลยีที่ แตกต่างกันจ านวนมากที่เกี่ยวข้องกับค านี้ จึงมักใช้ในรูปพหูพจน์ เช่น Telecommunications เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมในช่วงต้นประกอบด้วย
สัญญาณภาพ เช่น ไฟสัญญาณ, สัญญาณควัน, โทรเลข, สัญญาณธงและ เครื่องส่งสัญญาณด้วยกระจกสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ ตัวอย่างอื่นๆ ของการสื่อสารโทรคมนาคมก่อนช่วงที่ทันสมัยได่แก่ ข้อความเสียง เช่นกลอง, แตร และ นกหวีด เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมด้วยไฟฟ้าและแม่เหล็กไฟฟ้าได้แก่โทรเลข, โทรศัพท์และ โทรพิมพ์, เครือข่าย, วิทยุ, เครื่องส่งไมโครเวฟ, ใยแก้วน าแสง, ดาวเทียมสื่อสารและอินเทอร์เน็ตโดย อาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการส่งสัญญาณไปในอวกาศ เช่น การส่งคลื่นวิทยุ โทรทัศน์ และการส่ง
คลื่นไมโครเวฟ และการส่งสัญญาณดวงเดียว โดยจุดที่ส่งข่าวสารกับจุดรับอยู่ห่างกัน และข่าวสารที่ส่ง จะเฉพาะเจาะจงผู้รับคนใดคนหนึ่ง หรือการส่งแบบผู้รับทั่วไปก็ได้ โทรคมนาคมเป็นการใช้สื่ออุปกรณ์รับไฟฟ้าต่าง ๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร และ โทรพิมพ์ เพื่อการสื่อสารในระยะไกล โดยอุปกรณ์เหล่านี้จะแปลงข้อมูลรูปแบบต่าง ๆ เช่น เสียง และภาพไปเป็นสัญญาณไฟฟ้า สัญญาณเหล่านี้จะถูกส่งไปโดยสื่อ เช่น สายโทรศัพท์ หรือคลื่นวิทยุ เมื่อสัญญาณไปถึงจุดปลายทาง อุปกรณ์ด้านผู้รับจะรับและแปลงกลับสัญญาณไฟฟ้าเหลานี้ให้เป็น ข้อมูลที่สามารถเข้าใจได้ เช่นเป็นเสียงทางโทรศัพท์ หรือภาพบนจอโทรทัศน์ หรือข้อความและภาพ บนจอคอมพิวเตอร์ โทรคมนาคมจะช่วยให้บุคคลสามารถติดต่อสารกันได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดๆ ในโลก ในรูปแบบของข่าวสาร ความรู้ และความบันเทิง 1.4 องค์ประกอบของระบบโทรคมนาคม โทรคมนาคม (Telecommunications) หมายถึง การสื่อสารข้อมูลระยะทางไกลในรูปแบบ สัญญาณอีเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในอดีตระบบโทรคมนาคมให้บริการในรูปแบบของสัญญาณเสียงผ่าน สายโทรศัพท์ที่เรียกกันว่าสัญญาณในระบบ อนาลอก (Analog Signal) แต่ในปัจจุบันสัญญาณ โทรคมนาคมก าลังกลายเป็นการถ่ายทอดสัญญาณในรูปแบบดิจิตอล (Digital Signal) ระบบโทรคมนาคม (Telecommunications Systems) คือระบบที่ประกอบด้วยฮาร์ดแวร์และ ซอฟท์แวร์จ านวนหนึ่งที่สามารถท างานร่วมกันและถูกจัดไว้ส าหรับการสื่อสารข้อมูลจากสถานที่แห่ง หนึ่งไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งสามารถถ่ายทอดข้อความ ภาพกราฟฟิก เสียงสนทนา และวิดีทัศน์ ได้มีรายละเอียดของโครงสร้างส่วนประกอบดังนี้ 1.4.1 เครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมือเปลี่ยนปริมาณใดให้เป็นไฟฟ้า (Transducer) เช่น โทรศัพท์ หรือไมโครโฟน เป็นต้น


1.4.2 เครื่องเทอร์มินอลส าหรับการรับข้อมูลหรือแสดงผลข้อมูล เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์หรือ โทรศัพท์ รูป 1.14 แสดงการส่งและรับสัญญาณโทรศัพท์ 1.4.3 อุปกรณ์ประมวลผลการสื่อสาร (Transmitter) ท าหน้าที่แปรรูปสัญญาณไฟฟ้าให้ เหมาะสมกับช่องสัญญาณ เช่น โมเด็ม (MODEM) มัลติเพล็กเซอร์ (multiplexer) แอมพลิไฟเออร์ (Amplifier) และดาวเทียม (Satellite) ด าเนินการได้ทั้งรับและส่งข้อมูล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น